ความรู้ทั่วไป

วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552



1. คนไทยกับโรคสมองเสื่อม

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคสมองเสื่อม เผยแนวโน้มคนไทยและซีกโลกตะวันออกเป็นโรคสมองเสื่อมสูงขึ้น และอาจเป็นตั้งแต่ก่อนอายุ 60 ปี แต่อาการเพิ่งปรากฏเมื่ออายุ 60 ปี ขึ้นไป ระบุเหตุมาจากวิถีชีวิต การกินอาหารประเภททอด-มัน-ผัด แนะระมัดระวังบริโภคแป้งหรืออาหารหวานจัด ทอดหรือมันเกิน พ.ญ.สิรินทร ฉันศิริกาญจน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคสมองเสื่อม รพ.รามาธิบดี เปิดเผยว่า จากสถิติของผู้ป่วยในไทย ที่อายุประมาณเกิน 60 ปีขึ้นไปเป็นโรคสมองเสื่อมถึงกว่า 600,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ โรคสมองเสื่อมเกิดจากเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมองเกิดอาการตีบ ทำให้ เซลล์สมองหมดประสิทธิภาพ ขณะที่ โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากสภาพของสมองเสื่อมหรือตายไปแล้ว พ.ญ.สิรินทรกล่าวด้วยว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมมักมีอาการก่อนอายุ 60 ปี แต่ยังไม่ ปรากฏชัดเจน เมื่ออายุ 60 ปีถึงมีอาการขึ้นมาแท้จริงอาจเป็นก่อนหน้านี้แล้ว จึงขอให้ระมัดระวังอาหารของทอด ผัด มัน ถ้าอยากกินเนื้อสัตว์ให้เลือกปลา และกินข้าวเป็นหลักไม่กินแป้ง ส่วนผักและผลไม้ ซึ่งมีมากในประเทศไทยนั้น ผักกินได้เกือบทุกประเภท ยกเว้นผลไม้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความหวานมาก ต้องเลือกบริโภคผลไม้ที่ไม่มีน้ำตาลมาก เช่น ฝรั่ง
สำหรับอาการที่อาจจะมีแนวโน้มว่าจะเป็นโรคสมองเสื่อมและพบก่อนอายุ 60 ปีคือ เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งผู้ที่กังวลว่าตัวเองจะเป็นโรคสมองเสื่อมหรือไม่ จะมีแบบทดสอบ ผู้ที่ต้องการทราบติดต่อสอบถามได้ที่สมาคมผู้ดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อมแห่งประเทศ ไทย โทร.0-2201-2588, 0-2880-8542

2. มือถือ ภัยใกล้ตัว?
หนูเป็นอันตรายจากโทรมือถือ ถูกคลื่นแรมปีจนเกิดความจำเสื่อมขึ้น
นักวิจัยกลุ่มชาติสแกนดิเนเวีย ลองจับหนูให้ถูกคลื่นของโทรศัพท์มือถือ อาทิตย์หนึ่งไม่น้อยกว่า 2 ชม. นานเป็นเวลาปีกว่า พบว่าพวกมันพากันมีความจำเสื่อมไปตามๆกัน พวกเขาได้ทดสอบความจำ โดยปล่อยมันให้อยู่ในกล่อง ซึ่งมีของวางอยู่ด้วยกัน 4 อย่าง ระหว่างนั้นจะจับย้ายที่และเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ไปสองครั้ง แต่ก่อนหน้าจะทดสอบจริง ก็จะเคลื่อนย้ายของอีกหนหนึ่ง ด้วยการวางของไว้ 2 สิ่ง ตรงที่ที่เคยอยู่เมื่อคราวย้ายหนแรก และตั้งอีกสองสิ่งที่เหลือ วางไว้ตรงที่ที่เคยอยู่เมื่อคราวถูกย้ายหนที่สอง ปรากฏว่าหนูทดลองสังเกตพบความแตกต่างได้น้อยลง
นักวิจัยของคณะศัลยแพทย์ประสาท มหาวิทยาลัยลันด์แห่งสวีเดน เชื่อว่าผลการค้นพบ เกี่ยวพันกับผลการศึกษาที่เคยทำมาก่อน นั่นคือคลื่นการแผ่รังสีไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือ อาจจะกระทบกับสิ่งที่เป็นเรื่องป้องกันเลือดกับสมองได้ สิ่งนั้นคอยป้องกันสารที่ปนอยู่ในเลือด ไม่ให้แทรกซึมเข้าไปถึงเนื้อเยื่อสมอง ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์ประสาทได้

เรื่องผลกระทบจากการใช้โทรศัพท์มือถือนั้น มีการศึกษาค้นคว้ากันมายาวนานแต่ก็ยังไม่มีใครฟันธงลงไปแน่ชัดเลยว่าผลกระทบที่จริงเป็นอย่างไร รุนแรงแต่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ควรระมัดระวังลูกหลานของเราอย่าให้ใช้โทรศัพท์มือถือกันนานเกินไป เพราะเกรงว่าสมองจะเสื่อมเหมือนคนดัง(ทุกฝ่าย)หลายคนในบ้านเมืองเรา ไม่รู้เหมือนกันว่า เขาใช้โทรศัพท์มือถือกันมากหรือเปล่า

3. ภัยแบบใหม่จากตู้ ATM

รายงานข่าวจากธนาคารพาณิชย์เปิดเผยว่า ชมรมธุรกิจบริการ ATM แจ้งเตือนสมาชิกทุกธนาคารให้เพิ่มความระมัดระวังการทุจริตผ่านระบบ ATM ด้วยวิธีการที่เรียกว่า Skimming ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธีการ เช่น การติดตั้งอุปกรณ์หรือแป้นกดรหัสมาวางทับแป้นจริง หรือการสอดอุปกรณ์ที่ช่องเสียบบัตร ATM โดยทั้ง 2 วิธีเพื่อบันทึกข้อมูลบนบัตรพร้อมรหัสไปผลิตบัตรใหม่ แล้วสามารถทำการถอนเงินจากบัญชีลูกค้าจนหมดได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ชมรมธุรกิจบริการ ATM ได้เรียกสมาชิกเพื่อหาวิธีการป้องกันและแจ้งเตือนลูกค้าธนาคาร หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต ตรวจพบความผิดปกติดังกล่าวบนแป้นกดรหัส ATM ล่าสุด ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้ส่งหนังสือเวียนไปยังสาขาธนาคารทุกแห่งให้ระมัดระวังเรื่องดังกล่าวแล้ว โดยนางเยาวลักษณ์ พูลทอง ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยอมรับว่า เจ้าหน้าที่ของธนาคารได้ตรวจพบความผิดปกติดังกล่าวที่ อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต แต่ลูกค้าธนาคารหรือลูกค้าบัตร ATM ธนาคารอื่นที่มาใช้ตู้ ATM ของธนาคารไม่ได้รับความเสียหายจากการพยายามทำทุจริตดังกล่าว เนื่องจากได้ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องเกี่ยวกับกรณีพยายามทุจริต "ธนาคารพบคือการนำแป้นกดรหัสปลอมมาวางทับบนแป้นกดรหัสของเครื่อง ATM อีกชั้นหนึ่ง และนำอุปกรณ์ที่หน้าตาเหมือนช่องเสียบบัตร ATM มาติดทับบนช่องสอดบัตรของเครื่องเอทีเอ็ม" นางเยาวลักษณ์ ระบุ ขณะเดียวกัน ธนาคารยังได้ป้องกันการทุจริตและลูกค้าธนาคาร โดยแจ้งเรื่องนี้ให้ชมรมธุรกิจบริการ ATM ซึ่งมีธนาคารทุกแห่งเป็นสมาชิกได้ทราบ เพื่อร่วมกันป้องกันการกระทำดังกล่าว โดยในเบื้องต้นจะช่วยกันดูแลตู้บริเวณใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ ในส่วนของธนาคารเอง ได้จัดทำหน้าจอเพิ่มอีก 1 ขั้นตอนเป็นการเตือนลูกค้าก่อนที่จะใส่รหัส ATM โดยให้ใช้มือบังเมื่อกดแป้นรหัสเพื่อป้องกันผู้อื่นเห็นรหัส ATM และสำหรับเรื่องนี้ได้มีการเตรียมการจัดทำ Sticker เพื่อติดที่เครื่อง ATM ทุกเครื่อง เพื่อเป็นการเตือนลูกค้าอีกด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันธนาคารมีตู้ ATM จำนวน 2,800 ตู้ - 3 -
แหล่งข่าวจากธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ระบุว่า ขณะนี้ธนาคารเร่งปรับปรุงหน้าจอ ATM ของธนาคารเพื่อแจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับพฤติกรรมการทุจริตดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีตู้ ATM จำนวน 3,500 ตู้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หนังสือเวียนที่ชมรมธุรกิจบริการ ATM มีถึงพนักงานระบุว่า เนื่องจากปัจจุบันได้มีกลุ่มมิจฉาชีพได้ติดตั้งเครื่องอ่านข้อมูลจากบัตร ATM และที่แป้นกดรหัสหรือที่เรียกกันว่า ATM Skimming ในหลายๆ พื้นที่ ซึ่งเมื่อท่านทำรายการที่ตู้ดังกล่าวแล้ว คนร้ายสามารถนำข้อมูลบนบัตรพร้อมรหัสไปผลิตบัตรใหม่ แล้วสามารถทำการถอนเงินจากบัญชีจนหมดได้ ดังนั้น ก่อนทำรายการใด รบกวนท่านสังเกตความผิดปกติของตู้ ATM ด้วยว่าแป้นกดมีลักษณะไม่น่าไว้วางใจ เช่น เป็นกล่องนูนขึ้นมาอย่างผิดสังเกต หรือที่ช่องรับบัตรมีความผิดปกติของอุปกรณ์ เช่น สีเพี้ยน หรือลักษณะเหมือนมีอะไรมาแปะติดเพิ่ม นอกจากนี้ หากท่านพบเห็นตู้ของเรามีลักษณะผิดปกติ ขอความกรุณาแจ้งผู้จัดการสาขา หรือผู้จัดการบริการลูกค้า (Counter Bank) หรือโทร. 08-1649-9819 ได้นอกเวลาทำงาน เพื่อจะได้ประสานงานกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป พร้อมกันนี้ ในหนังสือเวียนยังได้แนะนำข้อควรระวัง โดยให้หลีกเลี่ยงการใช้บริการตู้ ATM ที่ติดตั้งในจุดที่เปลี่ยว มืด เพราะคนร้ายสามารถติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวได้ง่าย

4. อันตรายจากลูกเหม็น
อันตรายจากลูกเหม็น
การใช้ลูกเหม็น เพื่อดับกลิ่น และป้องกันแมลงอาจมีประโยชน์ แต่การสูดดมลูกเหม็นบ่อย ๆ มีโอกาสพบอันตรายมาก โดย ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ เลขา ธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่าปัจจุบันแนพทาลีน หรือ ลูกเหม็น ถูกนำมาใช้กันอย่างกว้างขวาง ใช้สำหรับใส่ในตู้เสื้อผ้า เพื่อป้องกันแมลงกัดกินเสื้อผ้า หรือใช้เพื่อดับกลิ่นในห้องน้ำ ซึ่งมีทั้ง ชนิดก้อน ชนิดเม็ด และชนิดผลึก ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีแนพทาลีนเป็นส่วนประกอบมากกว่าร้อยละ 99 ซึ่งแนพทาลีนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ร่างกายจะได้รับจากการหายใจ หรือการสัมผัสทางผิวหนัง หรือผ่านทางเสื้อผ้า หรือผ้าห่มที่มีการใช้ลูกเหม็น แนพทาลีนจะทำให้ระคายเคืองตา จมูก คอและผิวหนัง หากได้รับเข้าไปมากส่งผลให้เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย เกิดโลหิตจาง

อย่างไรก็ตามพบว่าทารก เด็ก สตรีมีครรภ์ และคนที่มีระดับเม็ดเลือดแดงต่ำ หรือมีเอ็นไซม์บางชนิดที่เกี่ยวข้องกับระบบหมุนเวียนโลหิตต่ำมาตั้งแต่เกิด เมื่อได้รับแนพทาลีน จะเกิดโรคโลหิตจางได้ง่าย นอกจากนี้ยังพบว่า แนพทาลีนที่ตกค้างในร่างกายของแม่สามารถส่งผ่านไปยังลูก ซึ่งการเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่ทำให้ลูกโลหิตจางด้วย อาการเบื้องต้นคือเหนื่อยล้า ผิวหนังซีด ไม่อยากอาหาร
"เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานและผู้บริโภค ควรเก็บลูกเหม็นหรือก้อนดับกลิ่นให้พ้นมือเด็ก เก็บในตู้ที่ปิดสนิท เพื่อป้องกันการรั่วไหลของไอระเหยของแนพทาลีนสู่อากาศ
และก่อนใช้เสื้อผ้าหรือผ้าห่มที่มีการใช้ลูกเหม็นให้นำไปตากแดด หรือผึ่งลมก่อน เพื่อกำจัดกลิ่นและไอระเหยของแนพทาลีนที่ตกค้างบนเสื้อผ้า นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ลูกเหม็นกับเสื้อผ้าหรือผ้าห่มของเด็กและทารก ลดการใช้ปริมาณก้อนดับกลิ่น"

5.การดื่มน้ำรักษาโรค
การดื่มน้ำรักษาโรค
การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพราะเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้ เราสามารถใช้นำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100 เปอร์เซ็นต์ (ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) คือ ปวดหัว , ปวดตามตัว, โรคระบบหัวใจ , โรคไขข้ออักเสบ ,

โรคหัวใจเต้นเร็ว , โรคลมบ้าหมู , โรคอ้วน , โรคหลอดลมอักเสบ , โรคหึด , วัณโรค , อาการเยื้อหุ้มสมองอักเสบ , ไขสันหลังอักเสบ , โรคไต , และยูริก , โรคแสลงคลื่นไส้ต่าง ๆ , โรคกระเพาะโรคท้องร่วง , โรคริดสีดวง , โรคเบาหวาน , โรคอาการท้องผูก , โรคตา , โรคภายในสตรี , มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ , โรคคอ , หู , จมูก
วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้.
1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟัน และล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไปจึงจะรับประทานอาหารได้ปกติ
3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ต้องไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานเลยจนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วย หรือ คนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ขอให้ค่อย ๆ ดื่ม ค่อยเป็นไปเรื่อยๆ จนได้ ครบ 4 แก้ว ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อย ๆ เบาๆ และหายขาดได้ในที่สุด วิธีนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้นจะทำให้คุณภาพ ชีวิตดีขึ้น
จากสถิติข้อมูลโรค ที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายในเวลาดังนี้
โรคความดันโลหิตสูง/ 30 วัน , กระเพาะ / 10 วัน , เบาหวาน / 30 วัน , ท้องผูก / 10 วัน , มะเร็ง 180 วัน / โรควัณโรค 90 วัน สำหรับไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วันสัปดาห์ แรกให้ปฏิบัติทุกวัน วิธีรักษาแบบนี้ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด เพียงแต่อาจปัสสวะ บ่อยขึ้นและหลังดื่มน้ำไปแล้ว แล้วประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะซึ่งอาจไม่สะดวกในการเดินทางบ้างเท่านั้นมี ขอให้มีสุขภาพที่ดีทุกท่าน

0 ความคิดเห็น: